“หมีน้ำผึ้ง” ตัวการ์ตูนสุดน่ารักจากภาพยนตร์มิวสิคัลแอนิเมชันอย่างเรื่อง “Vivo” เรื่องราวของการผจญภัยข้ามน้ำ ข้ามทะเล เพื่อทำภารกิจบางอย่างให้กับคนสำคัญ ผ่านการเล่าเรื่องด้วยเพลงที่สะท้อนถึงคุณค่าของดนตรี และทำให้เห็นว่าดนตรีนั้นสามารถเยียวยาเราได้จากทุกสิ่ง
หลายคนคงได้เข้าไปดูภาพยนตร์มิวสิคัลแอนิเมชั่นเรื่องนี้บน NETFLIX กันมาบ้างแล้ว แต่เรื่องราวดี ๆ ที่ชวนอบอุ่นหัวใจไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในหนังเมื่อ “Jongluckdee” Creative Agency and Production Design Lab ผู้อยู่เบื้องหลังแคมเปญเจ๋ง ๆ มากมายได้เพิ่มมิติของการโปรโมตหนังไปพร้อมกับการส่งมอบความอบอุ่นที่น่าประทับใจ
ผ่านการสร้างสรรค์แคมเปญสุด Feel Good ที่ได้เกิดขึ้นในโลกแห่งความเป็นจริงเพื่อสนับสนุนนักดนตรี และสร้างรอบยิ้มให้กับคนดูผ่านแคมเปญที่ชื่อว่า “Vivo Audition” จนกลายมาเป็นบทเพลงที่ถูกพูดถึงทั่วโลกออนไลน์ในช่วงหลายวันที่ผ่านมาอย่าง ‘ไม่เหมือนใคร (One of a Kind) เวอร์ชั่น Thai Remix’
โดยวันนี้คอลัมน์ ADclusive ของเรา ได้มีโอกาสพูดคุยกับ คุณกิ๊ฟ เขตนภินท์ โสภิญนนท์ (Founder / Head of Creative) และ คุณเอย ภัทศา อัตตนนท์ (Managing Director) 2 ผู้นำแห่งเอเจนซี Jongluckdee ถึงเบื้องหลังของการทำแคมเปญการโปรโมตหนังที่โอบล้อมหัวใจของคนดูไปด้วยดนตรีครั้งนี้แบบเจาะลึกกัน
เราลองมาติดตามเบื้องหลังผลงานอันอบอุ่นครั้งนี้กันว่าจะเป็นอย่างไรบ้าง แอบบอกก่อนว่าเบื้องหลังแคมเปญนี้ตั้งแต่เริ่มบรีฟ จนออกมาเป็นผลงานสุดอลังที่เราได้เห็นกันนั้นมีเวลาเพียง 45 วันเท่านั้น!! ใครพร้อมแล้วมาอ่านต่อได้กันเลยจ้า
นิยามข้างต้นนี้มากจากคุณกิ๊ฟและคุณเอย เพราะทาง Jongluckdee เองเหมือนกับการรวมกันของ Creative Agency และ Production House ครบจบที่จงรักดีทั้งหมด ตั้งแต่การที่ลูกค้าให้โจทย์มาวางแผนกลยุทธ์ขายไอเดีย ถ่ายทำ ไปจนถึงทำเว็บไซต์ หรือทำสื่ออื่น ๆ ที่ลูกค้าต้องการ เรียกได้ว่าทำเสร็จทุกอย่างเป็น One Stop Service ที่แท้จริง
คุณกิ๊ฟเสริมว่า “Design Lab คือการทดลองการทำงานเราเป็นการทดลอง ไม่ว่าจะเป็นการทำหนังโฆษณา ทำโปรแกรมมิ่ง ทำออนไลน์ได้ เราก็ขยายผลงานออกมา เป็นการสร้างโปรดักชั่นในแบบของเราเอง”
Jongluckdee เองเป็นเอเจนซีที่มีหลายแคมเปญที่เป็นที่พิสูจน์แล้วว่าผลงานของที่นี่นั้นเป็นพื้นที่ของการทำงานอย่างครบวงจร ตั้งแต่การคิดไปจนถึงการผลิตผลงานออกมา เช่น
แคมเปญ Collaboration ระดับโลกอย่าง Singha Soda Water x Mister Cartoon ที่ทำให้แบรนด์ที่อยู่กับคนไทยมานานแต่กลับมีภาพลักษณ์ที่วัยรุ่นคูล ๆ ตลอดเวลา
แคมเปญ Girl Group แหนมดอนเมืองกม. 26 พลิกภาพลักษณ์อาหารพื้นบ้านอย่างแหนมให้กลายเป็น Pop Culture
นอกจากนั้นยังมีผลงานที่ Jongluckdee ได้ร่วมงานกับ NETFLIX มาแล้วก่อนหน้านี้ กับการโปรโมตซีรีส์ The Haunting of Hill House ในแคมเปญชื่อว่า “Real-life Trailer” ที่กวาดรางวัลมากมายหลายเวที รวมถึงกระแสที่ถูกพูดถึงภายในข้ามคืนอีกด้วย
โดยคุณเอยเล่าให้ฟังว่า “งานชิ้นนี้พิสูจน์ความสามารถในทุกมิติของ Jongluckdee เลย" และบอกอีกว่า “Creativity มัน Free Form ไม่มีกฎเกณฑ์ ไม่มีสูตรสำเร็จ อีกอย่างคือเราไม่กลัวที่จะทำอะไรใหม่ ๆ ”
พอได้รู้จัก Jongluckdee กันมากขึ้นแบบนี้แล้ว ยิ่งทำให้เราตื่นเต้นมากขึ้นอีกและทำให้เราอยากจะรู้กันแล้วว่าแคมเปญที่ร่วมงานกับ Netflix ล่าสุดในภาพยนตร์แอนิเมชัน Vivo นี้จะเป็นอย่างไรกันบ้าง?
อย่างที่แอดได้เกริ่นไปก่อนหน้า ว่าแคมเปญการโปรโมตภาพยนตร์เรื่อง Vivo นี้ ถือว่าเป็นการกลับมาทำงานร่วมกันอีกครั้งระหว่างทีม Jongluckdee และ NETFLIX โดยทางคุณเอยคุณกิ๊ฟได้เล่าให้ฟังว่า “NETFLIX เองเป็นลูกค้าที่กล้าลุยไปกับไอเดียใหม่ ๆ และทาง Jongluckdee เองก็ตื่นเต้นที่จะได้ลองทำงานที่ยังไม่มีใครเคยทำ ทำให้งานในครั้งนี้มีความสนุก และความท้าทายไปในตัว”
รับชมตัวอย่าง Vivo - Netflix
โดยโจทย์ที่ทางทีม Jongluckdee ได้รับในครั้งนี้ คือ ‘การใช้พื้นที่ออนไลน์ในการปล่อยแคมเปญเพื่อให้กลุ่มเป้าหมายเกิดความสนใจและอยากรับชมภาพยนตร์แอนิเมชันเรื่อง Vivo นี้’ พร้อมทั้งมีการกำหนด Direction และ KOL มาให้อยู่แล้วคือ โอ๊ต ปราโมทย์, เจนนิเฟอร์ คิ้ม และ วันเดอร์เฟรม ซึ่งเป็นผู้ให้เสียงพากย์ภาษาไทยของเรื่องนี้
จากโจทย์ที่ได้รับคุณกิ๊ฟและคุณเอยได้เล่าว่า “สิ่งแรกที่ Jongluckdee ทำคือการหยิบแกนหลักของเรื่องอย่าง Music brings us together. มาเป็นจุดตั้งต้น พร้อมกับการตั้งคำถามว่าในสถานการณ์แบบนี้จะทำยังไงให้คนเข้ามารวมกัน”
Jongluckdee จึงมองว่า Vivo เป็นหนังที่เกิดมาจาก “คนดนตรี” ที่มีความเชื่อในคุณค่าของดนตรี พูดผ่านความรัก ความผูกพันธ์ ซึ่งแน่นอนว่าในสถานการณ์แบบนี้ กลุ่มคนดนตรีก็ต้องเผชิญกับภาวะวิกฤตอย่างหนักที่ไม่สามารถเล่นดนตรีได้เหมือนปกติมาเป็นเวลานาน จึงอยากจะสร้างแคมเปญที่สร้างแรงใจดี ๆ ให้กลุ่มคนดนตรีได้มีส่วนร่วมได้
จุดเริ่มต้นของแคมเปญนี้จึงเริ่มจากการ ‘ชวนนักดนตรี’ มาร่วม Audition เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในเพลง ไม่เหมือนใคร (One of a kind) ซึ่งเป็นเพลงหลักของเรื่อง ในสไตล์ “Thai Remix” ที่สะท้อนให้เห็นถึงเอกลักษณ์ของความเป็นไทยแบบที่ไม่มีประเทศไหนเคยทำมาก่อน
โดยหลังจากที่เปิดตัวแคมเปญออกไป ก็มีคนสนใจและได้ส่งคลิปมาเข้าร่วมเกือบ 1,000 คลิป ซึ่งคลิปทั้งหมดนั้นไม่ใช่แค่การปล่อยพลังในการเล่นดนตรีอย่างเต็มที่ แต่ยังทำให้ทางทีมงาน Jongluckdee และ NETFLIX เองสัมผัสได้ถึงความตั้งใจ จึงต้องใช้เวลาในการเลือกทุกอย่างให้ดีที่สุด แม้จะมีเวลาที่จำกัดก็ตาม
แม้ว่าจะมีผู้เข้าร่วมกิจกรรมมามากมาย แต่แก่นหลักของแคมเปญยังไม่ได้จบแค่นี้! เพราะปลายทางของ Vivo Audition ก็คือการจัดทำ “Music Video” เพลงไม่เหมือนใคร (One of a Kind) เวอร์ชั่น Thai Remix ซึ่งแน่นอนว่าในช่วงสถานการณ์แบบนี้ ก็คงไม่ใช่เรื่องง่ายเลยในการจะทำการ Production ชิ้นงานสักชิ้นขึ้นมา
คุณกิ๊ฟได้เล่าถึงเบื้องหลังการถ่ายทำว่า “ด้านของการถ่ายทำเองก็ต้องเริ่มจากการวางแผนการถ่ายทำให้แน่ชัด ด้วยความที่คนออกกองได้แค่จำนวนจำกัด ทำให้ต้องมีการบริหารจัดการคนในแต่ละหน้าที่ให้ทำงานได้ออกมามีประสิทธิภาพมากที่สุด Jongluckdee เลยเลือกวิธีให้ถ่ายทำง่ายที่สุด และไปเน้นการใช้ Technology ในขั้นตอน Post-Production เช่น CGI ให้มากที่สุด”
ซึ่งทั้งคู่ก็ได้แชร์ถึงปัจจัยสำคัญที่ทำให้การถ่ายทำครั้งนี้ประสบความสำเร็จออกมาจนเป็นผลงานสุดอลังการที่เราได้รับชมกันในครั้งนี้ ก็คือ Teamwork เพราะ Service ของ Jongluckdee เป็นการคุยกันมากกว่า และเป็นการคุยกันตั้งแต่ต้นถึงบรีฟที่ชัดเจนของลูกค้าเพื่อหาโจทย์ที่ชัด และเอาไอเดียที่แท้จริงออกมาให้ได้จนกลายมาเป็นผลงานที่เราเห็นกัน
แคมเปญนี้ยิ่งตอกย้ำให้ Jongluckdee รู้เลยว่าความเป็น Teamwork ที่มันไม่ใช่แค่ฝั่งเอเจนซีกับ Production House มันคือการที่ลูกค้าควรที่จะ Enjoy การทำงานร่วมกันกับเรา เพราะงานโฆษณาคืองานที่สนุก และพอลูกค้าที่ทำงานกับ Jongluckdee จะได้รับสิ่งนี้กลับไปด้วย
หากพูดถึงอนาคตของโฆษณา ทางคุณกิ๊ฟและคุณเอยเองก็มีมุมมองที่น่าสนใจมากมาย แต่เรื่องหนึ่งที่น่าสนใจมาก ๆ นั่นก็คือเรื่องของ “Consumer Democracy” ที่ผู้บริโภคจะเป็นใหญ่ มีสิทธิ์ มีเสียงในการเลือกสิ่งต่าง ๆ ที่ต้องการได้ด้วยตนเองอย่างอิสระ
ซึ่งเมื่อเกิดสิ่งนี้ขึ้น ทำให้คนทำโฆษณาเองต้องไม่ยึดติด ไม่ตายตัว และต้อง Speed Up ตัวเองให้ไวกว่าที่เป็นอยู่ รับฟัง Consumer ให้มากขึ้น เมื่อรับฟังเราจะรู้ว่าเขาต้องการสิ่งไหน และการนำเสนอเราจะได้นำเสนอถูกช่องทาง เหมือนกับผลงานต่าง ๆ ที่ Jongluckdee ก็ใช้แนวคิดนี้ในการทำงานเช่นกัน
คุณเอยเสริมต่อว่า “โฆษณามีอายุสั้นลงทุกวัน เมื่อก่อนการทำหนังโฆษณามีเวลา 2-3 เดือนกว่าจะหายไป แต่เดี๋ยวนี้บางทีเราวัดกันในหลัก 10 ชั่วโมง 12 ชั่วโมง 24 ชั่วโมง ด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นโอกาสที่ทำให้มันเกิด Impact ไม่ได้ง่าย”
ทำให้หลังจากนี้ทีมเอเจนซีเองต้องทุ่มสุดตัวในการทำงาน ห้ามมักง่ายกับงาน เราต้องไม่ใช่แค่ทำตามบรีฟ อีกต่อไป แต่ต้องฟังลูกค้าให้ชัด และอ่านระหว่างบรรทัดให้ได้ ว่าจริงๆ แล้วบรีฟที่เขาต้องการคืออะไรกันแน่
จากที่ได้พูดคุยกับ คุณกิ๊ฟ และ คุณเอย แห่ง Jongluckdee ในครั้งนี้ ทำให้เห็นความตั้งใจของทีมงานทุกคน ว่าแคมเปญนี้มีความตั้งใจที่จะแบ่งปันความรู้สึกดี ๆ ผ่านการส่งคุณค่าให้กับ ‘คนดนตรี’ อย่างแท้จริง ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดและทิศทางของหนังที่ว่า “Music brings us together.” ได้อย่างลงตัว
และพอได้เห็นเบื้องหลังการทำงานของ Jongluckdee แล้ว ก็ยังตอกย้ำให้เห็นว่า การที่เป็นเอเจนซีที่สามารถจบทุกอย่างได้ในที่เดียวตั้งแต่การคิดไอเดียไปจนถึงการปล่อยไอเดียออกมานี้ ค่อนข้างเป็นอะไรที่ตอบโจทย์กับยุคสมัย ที่แบรนด์ต่าง ๆ ล้วนมีความต้องการที่เร็วมากขึ้น เพื่อให้ปรับตัวทันกับการเปลี่ยนแปลงไปของผู้บริโภคในทุก ๆ วันนั่นเอง
แอดต้องขอขอบคุณคุณกิ๊ฟ และคุณเอยอีกครั้ง ที่มาร่วมแชร์ประสบการณ์ เบื้องหลัง และมุมมองของการทำงานโฆษณาแคมเปญ Vivo Aution จนกลายมาเป็น MV เพลงเวอร์ชั่นไทยอันไพเราะและตระการตาแบบ Exclusive สุด ๆ ในครั้งนี้
ใครที่เห็นผลงานของ Jongluckdee แล้วอยากติดตาม หรืออยากทำงานด้วย ก็สามารถตามไปดูผลงานอื่น ๆ หรือติดต่อกันได้ที่ https://www.facebook.com/jongluckdee นะครับ